วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรือมอันเร

ลูดอันเร: นาฏศิลป์ถิ่นเขมรอีสานใต้
การเตรียมเข้าสากในท่าเดิรโจล (เดินเข้า) ของฝ่ายหญิง

ลูดอันเรเป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมร โดยเฉพาะคนเขมรแถบอีสานใต้ อาทิในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และนครราชสีมา 

ลูด แปลว่า “กระโดด หรือเต้น” อันเร แปลว่า “สาก” ดังนั้น คำว่า “ลูดอันเร” จึงแปลว่า “กระโดดสาก หรือเต้นสาก” 

เดิมทีนั้น “ลูดอันเร” เป็นคำเรียกการละเล่นนี้ก่อนการใช้คำว่า “เรือมอันเร” ของชาวสุรินทร์ ซึ่งคนไทยเชื้อสายเขมรรู้จักสืบทอดกันมานานแล้ว เข้าใจว่าน่าจะมีเค้าโครงการละเล่นคล้ายกับลาวกระทบไม้ แต่การละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรมีลักษณะเด่นที่แตกต่างไป 

เมื่อครั้งสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางจังหวัดสุรินทร์ซึ่งมีกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และอาจกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งต้นแบบการละเล่นลูดอันเรมาแต่โบราณ ได้ฟื้นฟูวัฒนธรรมการแสดงลูดอันเรขึ้น 

ต่อมาทางจังหวัดสุรินทร์ผนวกเอาลูดอันเรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในงานช้างจังหวัดสุรินทร์ โดยปรับปรุงพัฒนาท่ารำอันอ่อนช้อยตามแบบรำวงมาตรฐาน ตลอดจนรูปแบบเครื่องแต่งกาย และเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “เรือมอันเร” ทั้งนี้ในงานแสดงช้างและงานต่างๆ ของนักอนุรักษ์ชาวไทยเชื้อสายเขมรในสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ก็ได้ปรับเปลี่ยนการเรียกให้เข้ากับหลายๆ สิ่งที่ผนวกเข้ากับการละเล่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีกันตรึม บทร้อง ท่ารำ จังหวะการกระทบสาก (เว็ยอันเร) 

ท่าการเดินเข้าสากพร้อมกันของฝ่ายหญิงในจังหวะจืงปีร์ (สองขา)

แต่อย่างไรก็ตาม ในท้องถิ่นชนบทของชาวไทยเชื้อสายเขมรยังเรียก “ลูดอันเร” อยู่ และจะมีการละเล่นเพียงปีละครั้ง 

สรุปว่า “เรือมอันเร” กับ “ลูดอันเร” เป็นการแสดงอย่างเดียวกัน 

ลูดอันเรครั้งอดีตเมื่อประมาณ ๔๐ – ๘๐ ปีที่แล้ว จากคำบอกเล่าของคนไทยเชื้อสายเขมรในเขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษนั้น เป็นความเชื่อที่มีจุดมุ่งหมายถึงการเคารพบูชาขอบคุณสากที่ใช้ในการตำข้าวเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวมาหุงรับประทาน 

สมัยก่อนไม่มีโรงสีข้าว ดังนั้นการลูดอันเรจะเล่นแค่ปีละครั้งเท่านั้น นิยมเล่นกันในเดือนห้าหรือเดือนเมษายน (แคแจต) คือวันหยุดสงกรานต์ หรือเทศกาลจ๊ะตึกเปรี๊ยะ (สรงน้ำพระ) ของชาวเขมร จะมีการสรงน้ำพระตลอดทั้งเดือนแคแจต 

แคแจตนี้เป็นช่วงที่เข้าถึงเดือนมหาศักราชใหม่ (เลิกชนัมทมัย) อันมีเทศกาลจ๊ะตึกเปรี๊ยะเป็นงานบุญ มีกิจประเพณีในเดือนแคเจตนี้ตลอดทั้งเดือน แบ่งเป็น ๔ ช่วง คือ 

ช่วงแรกคือ โจลแคแจต (เข้าเดือนห้า) โดยถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นช่วงเวลาที่กำลังเข้าสู่เดือนแห่งการเล่นน้ำ เข้าสู่ปีใหม่ เป็นเดือนแห่งงานบุญ “จ๊ะตึกเปรี๊ยะแคแจตชลองชนัมทมัย” 

ขบวนเดินเข้าลูดอันเรที่เดินล้อมผู้กระทบสากเป็นครึ่งวงกลม

ช่วงที่สองคือ ไงตอมตู๊จ (วันหยุดเล็กหรือน้อย) เป็นช่วงที่ทุกคนต้องหยุดทำงาน ๓ วัน คือตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ จนถึง ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นวันหยุดงานช่วงแรก โดยจะมีกิจกรรมต่างๆ ในงานบุญด้วย คือ โจลเวือด (เข้าวัด) การขนทรายเข้าวัดก่อเจดีย์ทราย (ปูนพนมกซั๊จ) หนุ่มสาวมีโอกาสได้พบปะกันและเล่นน้ำสาดน้ำกัน ลูกหลานจะรดน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายใหม่ให้คนเฒ่าคนแก่ผู้มีพระคุณ และขอพรจากคนเฒ่าคนแก่ มีการทำบุญตักบาตร หรือทำบุญอัฐิ อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่เรียกว่า “ดาร” 

ช่วงที่สองคือ ไงตอมธม (วันหยุดใหญ่) โดยถือเอาตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ ถึง แรม ๗ ค่ำเดือน ๕ โดยจะหยุด ๗ วัน ในช่วงนี้จะเป็นการหยุดพักผ่อนจากการงานจริงๆ ก่อนไงตอมธม คือเช้าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ จะทำบุญตักบาตรอีก หลังจากวันนี้ก็จะเริ่มเข้าช่วงไงตอมธม 

ช่วงนี้เองจะมีการละเล่นพื้นบ้านต่างๆ เช่น เล่นสะบ้า (ลีงอังกุล) โยนลูกช่วง (เบาะโกนโซง) กระโดดสาก (ลูดอันเร) หรือการร้องรำทำเพลงต่างๆ ตามแบบวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมร 

ช่วงที่สามคือ ไงตราตระตรอม หรือแฮเปรี๊ยะ (วันแห่พระ) เป็นวันที่อัญเชิญพระศักดิ์สิทธิ์ลงจากหิ้งที่วัดมาแห่ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์นำขบวน มีชาวบ้านหนุ่มสาวร่วมขบวนแห่รอบหมู่บ้าน ส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่บ้าน ไม่สามารถเข้าวัดมาทำบุญได้ ก็จะมีโอกาสร่วมสรงน้ำพระร่วมตามเส้นทางที่ขบวนแห่ผ่านด้วย และมีการกัจปกาซ่งพนมกซั๊จ (เด็ดดอกไม้ปักภูเขาทราย) กลางคืนจะมีการสวดมนต์บวชภูเขาทรายที่ก่อขึ้น โดยจะมีขบวนแห่เพลงมโหรี เพลงแห่ เพลงกัจปการ่วมด้วย (ครั้งอดีตในบ้านหัวเสือ ตำบลหัวเสือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จะบรรเลงเพลงมโหรีร่วมขบวนแห่ด้วย) 

ช่วงที่สี่คือ ไงเป็ญแคแจต (วันครบเต็มเดือนห้า) เป็นวันครบกำหนดเดือนห้าที่ทุกคนต้องกระทำพิธีลา โดยทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ และนำพระที่ประดิษฐานไว้ที่ศาลารางสรงน้ำพระกลับขึ้นหิ้งพระที่เดิม เป็นอันเสร็จกิจพิธีในเดือนห้าแคเจต 

ขณะฝ่ายหญิงเดินรำเข้าอันเร ฝ่ายชายคนใดต้องตาถูกใจหญิงก็จะเข้ามาเรือมโจลอันเรพร้อมกัน ในจังหวะจืงปีร์ (สองขา)

พิธีกรรมในแต่ละช่วงเวลาตลอดเดือนแคแจตนี้ กิจกรรมที่จะขาดมิได้คือการจ๊ะตึกเปรี๊ยะ (สรงน้ำพระ) โดยในช่วงบ่ายๆ จะต้องไปรวมกันที่วัดใกล้หมู่บ้านตนเองของทุกวัน ตลอดทั้งเดือน ซึ่งช่วงเช้าถึงตอนบ่ายก่อนจะสรงน้ำพระ หนุ่มสาวต่างหมู่บ้านจะพากันข้ามมายังหมู่บ้านที่มีวัด (ในอดีตวัดจะมีก็แต่ในตำบลหรือหมู่บ้านใหญ่ๆ เท่านั้น) เพื่อมาทำบุญสรงน้ำพระ โดยจะมากันตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้เล่นสาดน้ำกับหนุ่มสาวต่างหมู่บ้าน จนกระทั่งบ่ายก็ไปวัด สรงน้ำพระ ทำเช่นนี้ตลอดทั้งเดือนแคแจต 

ลูดอันเรจะเริ่มเล่นตั้งแต่วันตอมธม เดือนแคแจต อันเป็นโอกาสที่เปิดให้ฝ่ายชายต่างถิ่นหรือถิ่นเดียวกันได้มาพบปะพูดคุยดูใจหญิงสาว โดยเล่นพร้อมกันในช่วงเช้าที่เล่นสาดน้ำ 

ส่วนใหญ่จะเล่นตามลานบ้านหรือลานชุมชน ตามความเหมาะสมกับจำนวนคนที่จะกระโดด 

การเล่นนั้นจะเริ่มต้นด้วยการทำพิธีไหว้ครูไหว้ ขอขมาลาโทษสากที่จะนำมากระโดดข้ามไปมา ซึ่งในอดีตจะเคร่งครัดมาก มีการบรรเลงเพลงไหว้ครูของคณะกันตรึมประกอบ แต่บางชุมชนก็ไม่บรรเลง ในชุมชนใหญ่ๆ ที่มีผู้ที่มีความสามารถด้านดนตรี จะบรรเลงประกอบทำนองการกระทบสากทำให้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น ดังที่อำเภอไพรบึง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ และในเขตจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ 

นอกจากนี้ ยังคงใช้ทำนองจังหวะจากการกระทบของสากที่ดังตามแบบการเล่นทำนองเพลงกันตรึม จากนั้นผู้กระโดดจะเริ่มตั้งวง โดยเฉพาะผู้หญิงจะล้อมวงผู้ที่กระทบสากตามจำนวนผู้ที่จะกระโดด ตั้งแต่สาก ๒ คู่ หรือมากกว่านี้ก็ได้ โดยผู้กระทบจะอยู่ในวง ผู้กระโดดจะเริ่มกระโดดเข้าไปในสากตามทำนองที่สากกระทบ ผู้รำและผู้กระทบต้องรู้และเข้าใจถึงทำนองการกระทบเป็นอย่างดี ผู้กระโดดต้องชักเท้าขึ้นลงตามจังหวะที่กระทบของสาก ถ้าผิดจังหวะหรือไม่สัมพันธ์กันกับคู่ที่รำก็อาจทำให้เท้าโดนสากกระแทกอย่างแรงเจ็บตัวได้ เพราะผู้กระทบจะไม่สนใจว่าผู้รำจะรู้ทำนองการกระทบสากหรือไม่ รู้แต่ว่าผู้เข้ามารำได้ต้องเข้าใจทำนองดี การกระโดดมีตั้งแต่หนึ่งคนถึงหลายคน อาจเป็นหญิงล้วนหรือคละชายหญิงเป็นคู่ๆ ตามแต่คู่ที่ถูกคอชอบใจกัน 

ท่าโจลอันเร (เข้าสาก) ในจังหวะจืงมูย (ขาเดียว) ของผู้ชาย

ในอดีต การกระโดดมีหลายท่าทางตามทำนองจังหวะการกระทบสาก อันได้แก่ 

จังหวะจืงมูย (เท้าเดียว) การกระโดดเข้าจังหวะโดยกระโดดเข้าสากขาเดียวระหว่างช่องว่างของสากที่กางออก แล้วเวลาสากประกบต้องรีบชักเท้าออก ทำนองเพลงที่ใช้ เช่น ไหว้ครู กัจปกา (เด็ดดอกไม้) มโลบโดง (ร่มมะพร้าว) เป็นจังหวะช้า 

จังหวะจืงปีร (สองเท้า) การกระโดดเข้าจังหวะโดยชักเท้าสองข้างขึ้นลงตามทำนองเพลงระหว่างที่เท้าอยู่ระหว่างสากอ้าออก ประกบเข้า จะต้องชักเท้าขึ้นลงตามจังหวะการเคาะสาก ท่านี้จะเป็นการใช้ทำนองเพลงเร็วเบ็ดเตล็ดต่างๆ ของกันตรึมเช่น กันจันเจก (เขียดตะปาด) กระโนบติงตอง (ตั๊กแตน) 

การแต่งกายตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้รำทั้งชายหญิงจะแต่งตัวตามสบาย หญิงมักจะนุ่งผ้าโฮลปะโบล (ต่อเชิง) เสื้อตามสบาย ชายอาจจะนุ่งโสร่งหรือนุ่งผ้ากระเนียวกอเตียโจงกระเบน ใส่เสื้อตามสบาย 

กระทั่งสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะทางจังหวัดจังหวัดสุรินทร์ ชึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนไทยกลุ่มเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทางจังหวัดได้ปรับปรุงท่ารำจากท่าพื้นฐาน ๒ ท่า มาเป็น ๗ ท่า คือ เจ๊นเดิร (ออกเดิน) เลิกกรู (ขึ้นครูหรือไหว้ครู) กัจปกา (เด็ดดอกไม้) จืงมูย (เท้าเดียว) มลบโดง(ร่มมะพร้าว) จืงปีร (สองเท้า) และท่าพลิกแพลงต่างๆ ปรับปรุงเครื่องแต่งกายชายหญิงให้เป็นแบบแผนสวยงามตามแบบคนไทยเชื้อสายเขมร โดยหญิงจะนุ่งผ้าโฮล (ผ้าลายน้ำไหล) ผ้ากระเนียว (ผ้าหางกระรอก) ปะโบล (ต่อเชิงผ้านุ่ง) สวมเสื้อแขนกระบอกสีสันต่างๆ มีผ้าสไบผาดไหล่ทิ้งชายผ้าลงด้านตรงข้าง 

ส่วนชายสวมเสื้อแขนสั้นสีสันต่างๆ มีผ้าจดอพาดไหล่ทิ้งชายผ้าไปด้านหลังสองข้าง นุ่งผ้าโสร่งหรือผ้ากระเนียวกอเตีย โดยจะโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าจดอคาดที่เอว 

ท่าโจลอันเรในจังหวะปีร์ของชายและหญิงพร้อมๆ กัน โดยจะเดินเข้าคนละข้าง หันหน้าเข้าหากัน

แม้รูปแบบต่างๆ อาจปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงความเป็นคนไทยเชื้อสายเขมร ที่มีเค้าโครงท่าลูดอันเรแบบดั้งเดิม ตามแบบแผนที่มีองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามาผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นท่ารำอันอ่อนช้อยสวยงามตามแบบฉบับใหม่ แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งรูปแบบท่ารำแบบเดิม ดนตรีกันตรึมที่นำเข้ามาบรรเลงประกอบการลูดตามทำนองต่างๆ อย่างไพเราะสนุกสนานชวนฟัง และคำร้องที่มีเนื้อหาสาระที่บ่งบอกอันเป็นวัฒนธรรมของชนเชื้อสายเขมรอย่างแท้จริง 

การเล่นมิได้บังคับให้เล่นเพียงปีละครั้งอีกต่อไป แต่แสดงหรือเล่นในโอกาสสำคัญต่างๆ ได้ 

ปัจจุบันแทบกล่าวได้ว่าหาดูหาชมได้ยากมาก จะมีก็แต่ในช่วงโอกาสสำคัญๆ งานประจำปี หรือในกลุ่มศูนย์อนุรักษ์หรือศูนย์แสดงทางวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมรเท่านั้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น