ลูดอันเร: นาฏศิลป์ถิ่นเขมรอีสานใต้ |
![]() |
การเตรียมเข้าสากในท่าเดิรโจล (เดินเข้า) ของฝ่ายหญิง |
ลูดอันเรเป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมร โดยเฉพาะคนเขมรแถบอีสานใต้ อาทิในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และนครราชสีมา
ลูด แปลว่า “กระโดด หรือเต้น” อันเร แปลว่า “สาก” ดังนั้น คำว่า “ลูดอันเร” จึงแปลว่า “กระโดดสาก หรือเต้นสาก”
เดิมทีนั้น “ลูดอันเร” เป็นคำเรียกการละเล่นนี้ก่อนการใช้คำว่า “เรือมอันเร” ของชาวสุรินทร์ ซึ่งคนไทยเชื้อสายเขมรรู้จักสืบทอดกันมานานแล้ว เข้าใจว่าน่าจะมีเค้าโครงการละเล่นคล้ายกับลาวกระทบไม้ แต่การละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรมีลักษณะเด่นที่แตกต่างไป
เมื่อครั้งสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางจังหวัดสุรินทร์ซึ่งมีกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และอาจกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งต้นแบบการละเล่นลูดอันเรมาแต่โบราณ ได้ฟื้นฟูวัฒนธรรมการแสดงลูดอันเรขึ้น
ต่อมาทางจังหวัดสุรินทร์ผนวกเอาลูดอันเรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในงานช้างจังหวัดสุรินทร์ โดยปรับปรุงพัฒนาท่ารำอันอ่อนช้อยตามแบบรำวงมาตรฐาน ตลอดจนรูปแบบเครื่องแต่งกาย และเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “เรือมอันเร” ทั้งนี้ในงานแสดงช้างและงานต่างๆ ของนักอนุรักษ์ชาวไทยเชื้อสายเขมรในสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ก็ได้ปรับเปลี่ยนการเรียกให้เข้ากับหลายๆ สิ่งที่ผนวกเข้ากับการละเล่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีกันตรึม บทร้อง ท่ารำ จังหวะการกระทบสาก (เว็ยอันเร)
![]() |
ท่าการเดินเข้าสากพร้อมกันของฝ่ายหญิงในจังหวะจืงปีร์ (สองขา) |
แต่อย่างไรก็ตาม ในท้องถิ่นชนบทของชาวไทยเชื้อสายเขมรยังเรียก “ลูดอันเร” อยู่ และจะมีการละเล่นเพียงปีละครั้ง
สรุปว่า “เรือมอันเร” กับ “ลูดอันเร” เป็นการแสดงอย่างเดียวกัน
ลูดอันเรครั้งอดีตเมื่อประมาณ ๔๐ – ๘๐ ปีที่แล้ว จากคำบอกเล่าของคนไทยเชื้อสายเขมรในเขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษนั้น เป็นความเชื่อที่มีจุดมุ่งหมายถึงการเคารพบูชาขอบคุณสากที่ใช้ในการตำข้าวเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวมาหุงรับประทาน
สมัยก่อนไม่มีโรงสีข้าว ดังนั้นการลูดอันเรจะเล่นแค่ปีละครั้งเท่านั้น นิยมเล่นกันในเดือนห้าหรือเดือนเมษายน (แคแจต) คือวันหยุดสงกรานต์ หรือเทศกาลจ๊ะตึกเปรี๊ยะ (สรงน้ำพระ) ของชาวเขมร จะมีการสรงน้ำพระตลอดทั้งเดือนแคแจต
แคแจตนี้เป็นช่วงที่เข้าถึงเดือนมหาศักราชใหม่ (เลิกชนัมทมัย) อันมีเทศกาลจ๊ะตึกเปรี๊ยะเป็นงานบุญ มีกิจประเพณีในเดือนแคเจตนี้ตลอดทั้งเดือน แบ่งเป็น ๔ ช่วง คือ
ช่วงแรกคือ โจลแคแจต (เข้าเดือนห้า) โดยถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นช่วงเวลาที่กำลังเข้าสู่เดือนแห่งการเล่นน้ำ เข้าสู่ปีใหม่ เป็นเดือนแห่งงานบุญ “จ๊ะตึกเปรี๊ยะแคแจตชลองชนัมทมัย”
![]() |
ขบวนเดินเข้าลูดอันเรที่เดินล้อมผู้กระทบสากเป็นครึ่งวงกลม |
ช่วงที่สองคือ ไงตอมตู๊จ (วันหยุดเล็กหรือน้อย) เป็นช่วงที่ทุกคนต้องหยุดทำงาน ๓ วัน คือตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ จนถึง ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นวันหยุดงานช่วงแรก โดยจะมีกิจกรรมต่างๆ ในงานบุญด้วย คือ โจลเวือด (เข้าวัด) การขนทรายเข้าวัดก่อเจดีย์ทราย (ปูนพนมกซั๊จ) หนุ่มสาวมีโอกาสได้พบปะกันและเล่นน้ำสาดน้ำกัน ลูกหลานจะรดน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายใหม่ให้คนเฒ่าคนแก่ผู้มีพระคุณ และขอพรจากคนเฒ่าคนแก่ มีการทำบุญตักบาตร หรือทำบุญอัฐิ อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่เรียกว่า “ดาร”
ช่วงที่สองคือ ไงตอมธม (วันหยุดใหญ่) โดยถือเอาตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ ถึง แรม ๗ ค่ำเดือน ๕ โดยจะหยุด ๗ วัน ในช่วงนี้จะเป็นการหยุดพักผ่อนจากการงานจริงๆ ก่อนไงตอมธม คือเช้าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ จะทำบุญตักบาตรอีก หลังจากวันนี้ก็จะเริ่มเข้าช่วงไงตอมธม
ช่วงนี้เองจะมีการละเล่นพื้นบ้านต่างๆ เช่น เล่นสะบ้า (ลีงอังกุล) โยนลูกช่วง (เบาะโกนโซง) กระโดดสาก (ลูดอันเร) หรือการร้องรำทำเพลงต่างๆ ตามแบบวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมร
ช่วงที่สามคือ ไงตราตระตรอม หรือแฮเปรี๊ยะ (วันแห่พระ) เป็นวันที่อัญเชิญพระศักดิ์สิทธิ์ลงจากหิ้งที่วัดมาแห่ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์นำขบวน มีชาวบ้านหนุ่มสาวร่วมขบวนแห่รอบหมู่บ้าน ส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่บ้าน ไม่สามารถเข้าวัดมาทำบุญได้ ก็จะมีโอกาสร่วมสรงน้ำพระร่วมตามเส้นทางที่ขบวนแห่ผ่านด้วย และมีการกัจปกาซ่งพนมกซั๊จ (เด็ดดอกไม้ปักภูเขาทราย) กลางคืนจะมีการสวดมนต์บวชภูเขาทรายที่ก่อขึ้น โดยจะมีขบวนแห่เพลงมโหรี เพลงแห่ เพลงกัจปการ่วมด้วย (ครั้งอดีตในบ้านหัวเสือ ตำบลหัวเสือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จะบรรเลงเพลงมโหรีร่วมขบวนแห่ด้วย)
ช่วงที่สี่คือ ไงเป็ญแคแจต (วันครบเต็มเดือนห้า) เป็นวันครบกำหนดเดือนห้าที่ทุกคนต้องกระทำพิธีลา โดยทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ และนำพระที่ประดิษฐานไว้ที่ศาลารางสรงน้ำพระกลับขึ้นหิ้งพระที่เดิม เป็นอันเสร็จกิจพิธีในเดือนห้าแคเจต
![]() |
ขณะฝ่ายหญิงเดินรำเข้าอันเร ฝ่ายชายคนใดต้องตาถูกใจหญิงก็จะเข้ามาเรือมโจลอันเรพร้อมกัน ในจังหวะจืงปีร์ (สองขา) |
พิธีกรรมในแต่ละช่วงเวลาตลอดเดือนแคแจตนี้ กิจกรรมที่จะขาดมิได้คือการจ๊ะตึกเปรี๊ยะ (สรงน้ำพระ) โดยในช่วงบ่ายๆ จะต้องไปรวมกันที่วัดใกล้หมู่บ้านตนเองของทุกวัน ตลอดทั้งเดือน ซึ่งช่วงเช้าถึงตอนบ่ายก่อนจะสรงน้ำพระ หนุ่มสาวต่างหมู่บ้านจะพากันข้ามมายังหมู่บ้านที่มีวัด (ในอดีตวัดจะมีก็แต่ในตำบลหรือหมู่บ้านใหญ่ๆ เท่านั้น) เพื่อมาทำบุญสรงน้ำพระ โดยจะมากันตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้เล่นสาดน้ำกับหนุ่มสาวต่างหมู่บ้าน จนกระทั่งบ่ายก็ไปวัด สรงน้ำพระ ทำเช่นนี้ตลอดทั้งเดือนแคแจต
ลูดอันเรจะเริ่มเล่นตั้งแต่วันตอมธม เดือนแคแจต อันเป็นโอกาสที่เปิดให้ฝ่ายชายต่างถิ่นหรือถิ่นเดียวกันได้มาพบปะพูดคุยดูใจหญิงสาว โดยเล่นพร้อมกันในช่วงเช้าที่เล่นสาดน้ำ
ส่วนใหญ่จะเล่นตามลานบ้านหรือลานชุมชน ตามความเหมาะสมกับจำนวนคนที่จะกระโดด
การเล่นนั้นจะเริ่มต้นด้วยการทำพิธีไหว้ครูไหว้ ขอขมาลาโทษสากที่จะนำมากระโดดข้ามไปมา ซึ่งในอดีตจะเคร่งครัดมาก มีการบรรเลงเพลงไหว้ครูของคณะกันตรึมประกอบ แต่บางชุมชนก็ไม่บรรเลง ในชุมชนใหญ่ๆ ที่มีผู้ที่มีความสามารถด้านดนตรี จะบรรเลงประกอบทำนองการกระทบสากทำให้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น ดังที่อำเภอไพรบึง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ และในเขตจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์
นอกจากนี้ ยังคงใช้ทำนองจังหวะจากการกระทบของสากที่ดังตามแบบการเล่นทำนองเพลงกันตรึม จากนั้นผู้กระโดดจะเริ่มตั้งวง โดยเฉพาะผู้หญิงจะล้อมวงผู้ที่กระทบสากตามจำนวนผู้ที่จะกระโดด ตั้งแต่สาก ๒ คู่ หรือมากกว่านี้ก็ได้ โดยผู้กระทบจะอยู่ในวง ผู้กระโดดจะเริ่มกระโดดเข้าไปในสากตามทำนองที่สากกระทบ ผู้รำและผู้กระทบต้องรู้และเข้าใจถึงทำนองการกระทบเป็นอย่างดี ผู้กระโดดต้องชักเท้าขึ้นลงตามจังหวะที่กระทบของสาก ถ้าผิดจังหวะหรือไม่สัมพันธ์กันกับคู่ที่รำก็อาจทำให้เท้าโดนสากกระแทกอย่างแรงเจ็บตัวได้ เพราะผู้กระทบจะไม่สนใจว่าผู้รำจะรู้ทำนองการกระทบสากหรือไม่ รู้แต่ว่าผู้เข้ามารำได้ต้องเข้าใจทำนองดี การกระโดดมีตั้งแต่หนึ่งคนถึงหลายคน อาจเป็นหญิงล้วนหรือคละชายหญิงเป็นคู่ๆ ตามแต่คู่ที่ถูกคอชอบใจกัน
![]() |
ท่าโจลอันเร (เข้าสาก) ในจังหวะจืงมูย (ขาเดียว) ของผู้ชาย |
ในอดีต การกระโดดมีหลายท่าทางตามทำนองจังหวะการกระทบสาก อันได้แก่
จังหวะจืงมูย (เท้าเดียว) การกระโดดเข้าจังหวะโดยกระโดดเข้าสากขาเดียวระหว่างช่องว่างของสากที่กางออก แล้วเวลาสากประกบต้องรีบชักเท้าออก ทำนองเพลงที่ใช้ เช่น ไหว้ครู กัจปกา (เด็ดดอกไม้) มโลบโดง (ร่มมะพร้าว) เป็นจังหวะช้า
จังหวะจืงปีร (สองเท้า) การกระโดดเข้าจังหวะโดยชักเท้าสองข้างขึ้นลงตามทำนองเพลงระหว่างที่เท้าอยู่ระหว่างสากอ้าออก ประกบเข้า จะต้องชักเท้าขึ้นลงตามจังหวะการเคาะสาก ท่านี้จะเป็นการใช้ทำนองเพลงเร็วเบ็ดเตล็ดต่างๆ ของกันตรึมเช่น กันจันเจก (เขียดตะปาด) กระโนบติงตอง (ตั๊กแตน)
การแต่งกายตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้รำทั้งชายหญิงจะแต่งตัวตามสบาย หญิงมักจะนุ่งผ้าโฮลปะโบล (ต่อเชิง) เสื้อตามสบาย ชายอาจจะนุ่งโสร่งหรือนุ่งผ้ากระเนียวกอเตียโจงกระเบน ใส่เสื้อตามสบาย
กระทั่งสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะทางจังหวัดจังหวัดสุรินทร์ ชึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนไทยกลุ่มเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทางจังหวัดได้ปรับปรุงท่ารำจากท่าพื้นฐาน ๒ ท่า มาเป็น ๗ ท่า คือ เจ๊นเดิร (ออกเดิน) เลิกกรู (ขึ้นครูหรือไหว้ครู) กัจปกา (เด็ดดอกไม้) จืงมูย (เท้าเดียว) มลบโดง(ร่มมะพร้าว) จืงปีร (สองเท้า) และท่าพลิกแพลงต่างๆ ปรับปรุงเครื่องแต่งกายชายหญิงให้เป็นแบบแผนสวยงามตามแบบคนไทยเชื้อสายเขมร โดยหญิงจะนุ่งผ้าโฮล (ผ้าลายน้ำไหล) ผ้ากระเนียว (ผ้าหางกระรอก) ปะโบล (ต่อเชิงผ้านุ่ง) สวมเสื้อแขนกระบอกสีสันต่างๆ มีผ้าสไบผาดไหล่ทิ้งชายผ้าลงด้านตรงข้าง
ส่วนชายสวมเสื้อแขนสั้นสีสันต่างๆ มีผ้าจดอพาดไหล่ทิ้งชายผ้าไปด้านหลังสองข้าง นุ่งผ้าโสร่งหรือผ้ากระเนียวกอเตีย โดยจะโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าจดอคาดที่เอว
![]() |
ท่าโจลอันเรในจังหวะปีร์ของชายและหญิงพร้อมๆ กัน โดยจะเดินเข้าคนละข้าง หันหน้าเข้าหากัน |
แม้รูปแบบต่างๆ อาจปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงความเป็นคนไทยเชื้อสายเขมร ที่มีเค้าโครงท่าลูดอันเรแบบดั้งเดิม ตามแบบแผนที่มีองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามาผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นท่ารำอันอ่อนช้อยสวยงามตามแบบฉบับใหม่ แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งรูปแบบท่ารำแบบเดิม ดนตรีกันตรึมที่นำเข้ามาบรรเลงประกอบการลูดตามทำนองต่างๆ อย่างไพเราะสนุกสนานชวนฟัง และคำร้องที่มีเนื้อหาสาระที่บ่งบอกอันเป็นวัฒนธรรมของชนเชื้อสายเขมรอย่างแท้จริง
การเล่นมิได้บังคับให้เล่นเพียงปีละครั้งอีกต่อไป แต่แสดงหรือเล่นในโอกาสสำคัญต่างๆ ได้
ปัจจุบันแทบกล่าวได้ว่าหาดูหาชมได้ยากมาก จะมีก็แต่ในช่วงโอกาสสำคัญๆ งานประจำปี หรือในกลุ่มศูนย์อนุรักษ์หรือศูนย์แสดงทางวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมรเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น