วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรือมอันเร

ลูดอันเร: นาฏศิลป์ถิ่นเขมรอีสานใต้
การเตรียมเข้าสากในท่าเดิรโจล (เดินเข้า) ของฝ่ายหญิง

ลูดอันเรเป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมร โดยเฉพาะคนเขมรแถบอีสานใต้ อาทิในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด และนครราชสีมา 

ลูด แปลว่า “กระโดด หรือเต้น” อันเร แปลว่า “สาก” ดังนั้น คำว่า “ลูดอันเร” จึงแปลว่า “กระโดดสาก หรือเต้นสาก” 

เดิมทีนั้น “ลูดอันเร” เป็นคำเรียกการละเล่นนี้ก่อนการใช้คำว่า “เรือมอันเร” ของชาวสุรินทร์ ซึ่งคนไทยเชื้อสายเขมรรู้จักสืบทอดกันมานานแล้ว เข้าใจว่าน่าจะมีเค้าโครงการละเล่นคล้ายกับลาวกระทบไม้ แต่การละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรมีลักษณะเด่นที่แตกต่างไป 

เมื่อครั้งสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางจังหวัดสุรินทร์ซึ่งมีกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และอาจกล่าวได้ว่าเป็นแหล่งต้นแบบการละเล่นลูดอันเรมาแต่โบราณ ได้ฟื้นฟูวัฒนธรรมการแสดงลูดอันเรขึ้น 

ต่อมาทางจังหวัดสุรินทร์ผนวกเอาลูดอันเรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในงานช้างจังหวัดสุรินทร์ โดยปรับปรุงพัฒนาท่ารำอันอ่อนช้อยตามแบบรำวงมาตรฐาน ตลอดจนรูปแบบเครื่องแต่งกาย และเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “เรือมอันเร” ทั้งนี้ในงานแสดงช้างและงานต่างๆ ของนักอนุรักษ์ชาวไทยเชื้อสายเขมรในสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ก็ได้ปรับเปลี่ยนการเรียกให้เข้ากับหลายๆ สิ่งที่ผนวกเข้ากับการละเล่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีกันตรึม บทร้อง ท่ารำ จังหวะการกระทบสาก (เว็ยอันเร) 

ท่าการเดินเข้าสากพร้อมกันของฝ่ายหญิงในจังหวะจืงปีร์ (สองขา)

แต่อย่างไรก็ตาม ในท้องถิ่นชนบทของชาวไทยเชื้อสายเขมรยังเรียก “ลูดอันเร” อยู่ และจะมีการละเล่นเพียงปีละครั้ง 

สรุปว่า “เรือมอันเร” กับ “ลูดอันเร” เป็นการแสดงอย่างเดียวกัน 

ลูดอันเรครั้งอดีตเมื่อประมาณ ๔๐ – ๘๐ ปีที่แล้ว จากคำบอกเล่าของคนไทยเชื้อสายเขมรในเขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษนั้น เป็นความเชื่อที่มีจุดมุ่งหมายถึงการเคารพบูชาขอบคุณสากที่ใช้ในการตำข้าวเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวมาหุงรับประทาน 

สมัยก่อนไม่มีโรงสีข้าว ดังนั้นการลูดอันเรจะเล่นแค่ปีละครั้งเท่านั้น นิยมเล่นกันในเดือนห้าหรือเดือนเมษายน (แคแจต) คือวันหยุดสงกรานต์ หรือเทศกาลจ๊ะตึกเปรี๊ยะ (สรงน้ำพระ) ของชาวเขมร จะมีการสรงน้ำพระตลอดทั้งเดือนแคแจต 

แคแจตนี้เป็นช่วงที่เข้าถึงเดือนมหาศักราชใหม่ (เลิกชนัมทมัย) อันมีเทศกาลจ๊ะตึกเปรี๊ยะเป็นงานบุญ มีกิจประเพณีในเดือนแคเจตนี้ตลอดทั้งเดือน แบ่งเป็น ๔ ช่วง คือ 

ช่วงแรกคือ โจลแคแจต (เข้าเดือนห้า) โดยถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นช่วงเวลาที่กำลังเข้าสู่เดือนแห่งการเล่นน้ำ เข้าสู่ปีใหม่ เป็นเดือนแห่งงานบุญ “จ๊ะตึกเปรี๊ยะแคแจตชลองชนัมทมัย” 

ขบวนเดินเข้าลูดอันเรที่เดินล้อมผู้กระทบสากเป็นครึ่งวงกลม

ช่วงที่สองคือ ไงตอมตู๊จ (วันหยุดเล็กหรือน้อย) เป็นช่วงที่ทุกคนต้องหยุดทำงาน ๓ วัน คือตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ จนถึง ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ อันเป็นวันหยุดงานช่วงแรก โดยจะมีกิจกรรมต่างๆ ในงานบุญด้วย คือ โจลเวือด (เข้าวัด) การขนทรายเข้าวัดก่อเจดีย์ทราย (ปูนพนมกซั๊จ) หนุ่มสาวมีโอกาสได้พบปะกันและเล่นน้ำสาดน้ำกัน ลูกหลานจะรดน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายใหม่ให้คนเฒ่าคนแก่ผู้มีพระคุณ และขอพรจากคนเฒ่าคนแก่ มีการทำบุญตักบาตร หรือทำบุญอัฐิ อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่เรียกว่า “ดาร” 

ช่วงที่สองคือ ไงตอมธม (วันหยุดใหญ่) โดยถือเอาตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ ถึง แรม ๗ ค่ำเดือน ๕ โดยจะหยุด ๗ วัน ในช่วงนี้จะเป็นการหยุดพักผ่อนจากการงานจริงๆ ก่อนไงตอมธม คือเช้าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ จะทำบุญตักบาตรอีก หลังจากวันนี้ก็จะเริ่มเข้าช่วงไงตอมธม 

ช่วงนี้เองจะมีการละเล่นพื้นบ้านต่างๆ เช่น เล่นสะบ้า (ลีงอังกุล) โยนลูกช่วง (เบาะโกนโซง) กระโดดสาก (ลูดอันเร) หรือการร้องรำทำเพลงต่างๆ ตามแบบวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมร 

ช่วงที่สามคือ ไงตราตระตรอม หรือแฮเปรี๊ยะ (วันแห่พระ) เป็นวันที่อัญเชิญพระศักดิ์สิทธิ์ลงจากหิ้งที่วัดมาแห่ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์นำขบวน มีชาวบ้านหนุ่มสาวร่วมขบวนแห่รอบหมู่บ้าน ส่วนคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่บ้าน ไม่สามารถเข้าวัดมาทำบุญได้ ก็จะมีโอกาสร่วมสรงน้ำพระร่วมตามเส้นทางที่ขบวนแห่ผ่านด้วย และมีการกัจปกาซ่งพนมกซั๊จ (เด็ดดอกไม้ปักภูเขาทราย) กลางคืนจะมีการสวดมนต์บวชภูเขาทรายที่ก่อขึ้น โดยจะมีขบวนแห่เพลงมโหรี เพลงแห่ เพลงกัจปการ่วมด้วย (ครั้งอดีตในบ้านหัวเสือ ตำบลหัวเสือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จะบรรเลงเพลงมโหรีร่วมขบวนแห่ด้วย) 

ช่วงที่สี่คือ ไงเป็ญแคแจต (วันครบเต็มเดือนห้า) เป็นวันครบกำหนดเดือนห้าที่ทุกคนต้องกระทำพิธีลา โดยทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ และนำพระที่ประดิษฐานไว้ที่ศาลารางสรงน้ำพระกลับขึ้นหิ้งพระที่เดิม เป็นอันเสร็จกิจพิธีในเดือนห้าแคเจต 

ขณะฝ่ายหญิงเดินรำเข้าอันเร ฝ่ายชายคนใดต้องตาถูกใจหญิงก็จะเข้ามาเรือมโจลอันเรพร้อมกัน ในจังหวะจืงปีร์ (สองขา)

พิธีกรรมในแต่ละช่วงเวลาตลอดเดือนแคแจตนี้ กิจกรรมที่จะขาดมิได้คือการจ๊ะตึกเปรี๊ยะ (สรงน้ำพระ) โดยในช่วงบ่ายๆ จะต้องไปรวมกันที่วัดใกล้หมู่บ้านตนเองของทุกวัน ตลอดทั้งเดือน ซึ่งช่วงเช้าถึงตอนบ่ายก่อนจะสรงน้ำพระ หนุ่มสาวต่างหมู่บ้านจะพากันข้ามมายังหมู่บ้านที่มีวัด (ในอดีตวัดจะมีก็แต่ในตำบลหรือหมู่บ้านใหญ่ๆ เท่านั้น) เพื่อมาทำบุญสรงน้ำพระ โดยจะมากันตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้เล่นสาดน้ำกับหนุ่มสาวต่างหมู่บ้าน จนกระทั่งบ่ายก็ไปวัด สรงน้ำพระ ทำเช่นนี้ตลอดทั้งเดือนแคแจต 

ลูดอันเรจะเริ่มเล่นตั้งแต่วันตอมธม เดือนแคแจต อันเป็นโอกาสที่เปิดให้ฝ่ายชายต่างถิ่นหรือถิ่นเดียวกันได้มาพบปะพูดคุยดูใจหญิงสาว โดยเล่นพร้อมกันในช่วงเช้าที่เล่นสาดน้ำ 

ส่วนใหญ่จะเล่นตามลานบ้านหรือลานชุมชน ตามความเหมาะสมกับจำนวนคนที่จะกระโดด 

การเล่นนั้นจะเริ่มต้นด้วยการทำพิธีไหว้ครูไหว้ ขอขมาลาโทษสากที่จะนำมากระโดดข้ามไปมา ซึ่งในอดีตจะเคร่งครัดมาก มีการบรรเลงเพลงไหว้ครูของคณะกันตรึมประกอบ แต่บางชุมชนก็ไม่บรรเลง ในชุมชนใหญ่ๆ ที่มีผู้ที่มีความสามารถด้านดนตรี จะบรรเลงประกอบทำนองการกระทบสากทำให้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น ดังที่อำเภอไพรบึง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ และในเขตจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ 

นอกจากนี้ ยังคงใช้ทำนองจังหวะจากการกระทบของสากที่ดังตามแบบการเล่นทำนองเพลงกันตรึม จากนั้นผู้กระโดดจะเริ่มตั้งวง โดยเฉพาะผู้หญิงจะล้อมวงผู้ที่กระทบสากตามจำนวนผู้ที่จะกระโดด ตั้งแต่สาก ๒ คู่ หรือมากกว่านี้ก็ได้ โดยผู้กระทบจะอยู่ในวง ผู้กระโดดจะเริ่มกระโดดเข้าไปในสากตามทำนองที่สากกระทบ ผู้รำและผู้กระทบต้องรู้และเข้าใจถึงทำนองการกระทบเป็นอย่างดี ผู้กระโดดต้องชักเท้าขึ้นลงตามจังหวะที่กระทบของสาก ถ้าผิดจังหวะหรือไม่สัมพันธ์กันกับคู่ที่รำก็อาจทำให้เท้าโดนสากกระแทกอย่างแรงเจ็บตัวได้ เพราะผู้กระทบจะไม่สนใจว่าผู้รำจะรู้ทำนองการกระทบสากหรือไม่ รู้แต่ว่าผู้เข้ามารำได้ต้องเข้าใจทำนองดี การกระโดดมีตั้งแต่หนึ่งคนถึงหลายคน อาจเป็นหญิงล้วนหรือคละชายหญิงเป็นคู่ๆ ตามแต่คู่ที่ถูกคอชอบใจกัน 

ท่าโจลอันเร (เข้าสาก) ในจังหวะจืงมูย (ขาเดียว) ของผู้ชาย

ในอดีต การกระโดดมีหลายท่าทางตามทำนองจังหวะการกระทบสาก อันได้แก่ 

จังหวะจืงมูย (เท้าเดียว) การกระโดดเข้าจังหวะโดยกระโดดเข้าสากขาเดียวระหว่างช่องว่างของสากที่กางออก แล้วเวลาสากประกบต้องรีบชักเท้าออก ทำนองเพลงที่ใช้ เช่น ไหว้ครู กัจปกา (เด็ดดอกไม้) มโลบโดง (ร่มมะพร้าว) เป็นจังหวะช้า 

จังหวะจืงปีร (สองเท้า) การกระโดดเข้าจังหวะโดยชักเท้าสองข้างขึ้นลงตามทำนองเพลงระหว่างที่เท้าอยู่ระหว่างสากอ้าออก ประกบเข้า จะต้องชักเท้าขึ้นลงตามจังหวะการเคาะสาก ท่านี้จะเป็นการใช้ทำนองเพลงเร็วเบ็ดเตล็ดต่างๆ ของกันตรึมเช่น กันจันเจก (เขียดตะปาด) กระโนบติงตอง (ตั๊กแตน) 

การแต่งกายตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้รำทั้งชายหญิงจะแต่งตัวตามสบาย หญิงมักจะนุ่งผ้าโฮลปะโบล (ต่อเชิง) เสื้อตามสบาย ชายอาจจะนุ่งโสร่งหรือนุ่งผ้ากระเนียวกอเตียโจงกระเบน ใส่เสื้อตามสบาย 

กระทั่งสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะทางจังหวัดจังหวัดสุรินทร์ ชึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนไทยกลุ่มเชื้อสายเขมรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทางจังหวัดได้ปรับปรุงท่ารำจากท่าพื้นฐาน ๒ ท่า มาเป็น ๗ ท่า คือ เจ๊นเดิร (ออกเดิน) เลิกกรู (ขึ้นครูหรือไหว้ครู) กัจปกา (เด็ดดอกไม้) จืงมูย (เท้าเดียว) มลบโดง(ร่มมะพร้าว) จืงปีร (สองเท้า) และท่าพลิกแพลงต่างๆ ปรับปรุงเครื่องแต่งกายชายหญิงให้เป็นแบบแผนสวยงามตามแบบคนไทยเชื้อสายเขมร โดยหญิงจะนุ่งผ้าโฮล (ผ้าลายน้ำไหล) ผ้ากระเนียว (ผ้าหางกระรอก) ปะโบล (ต่อเชิงผ้านุ่ง) สวมเสื้อแขนกระบอกสีสันต่างๆ มีผ้าสไบผาดไหล่ทิ้งชายผ้าลงด้านตรงข้าง 

ส่วนชายสวมเสื้อแขนสั้นสีสันต่างๆ มีผ้าจดอพาดไหล่ทิ้งชายผ้าไปด้านหลังสองข้าง นุ่งผ้าโสร่งหรือผ้ากระเนียวกอเตีย โดยจะโจงกระเบนแล้วใช้ผ้าจดอคาดที่เอว 

ท่าโจลอันเรในจังหวะปีร์ของชายและหญิงพร้อมๆ กัน โดยจะเดินเข้าคนละข้าง หันหน้าเข้าหากัน

แม้รูปแบบต่างๆ อาจปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงความเป็นคนไทยเชื้อสายเขมร ที่มีเค้าโครงท่าลูดอันเรแบบดั้งเดิม ตามแบบแผนที่มีองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามาผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นท่ารำอันอ่อนช้อยสวยงามตามแบบฉบับใหม่ แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งรูปแบบท่ารำแบบเดิม ดนตรีกันตรึมที่นำเข้ามาบรรเลงประกอบการลูดตามทำนองต่างๆ อย่างไพเราะสนุกสนานชวนฟัง และคำร้องที่มีเนื้อหาสาระที่บ่งบอกอันเป็นวัฒนธรรมของชนเชื้อสายเขมรอย่างแท้จริง 

การเล่นมิได้บังคับให้เล่นเพียงปีละครั้งอีกต่อไป แต่แสดงหรือเล่นในโอกาสสำคัญต่างๆ ได้ 

ปัจจุบันแทบกล่าวได้ว่าหาดูหาชมได้ยากมาก จะมีก็แต่ในช่วงโอกาสสำคัญๆ งานประจำปี หรือในกลุ่มศูนย์อนุรักษ์หรือศูนย์แสดงทางวัฒนธรรมของคนไทยเชื้อสายเขมรเท่านั้น 

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประเพณีขึ้นเขาสวายกราบไหว้ 9 สิ่งศักด์สิทธิ์

ยิ่งใหญ่ประเพณีขึ้นเขาสวายกราบไหว้ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์



จังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ จัดประเพณีขึ้นเขาสวาย เคาะระฆัง 1,080 ใบ กราบไหว้ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำปี 2557 ซึ่งในปีนี้อากาศค่อนข้างดี ทำให้ประชาชน  และ นักท่องเที่ยวนับหมื่นร่วมงานประเพณีขึ้นเขาสวาย เดินทางมา เคาะระฆัง 1,080 ใบ  พร้อมกราบไหว้ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนเขาสวายประจำปี 2557 เป็นงานปกระเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ            
เมื่อเวลา 09.09 น.วันที่ 31 มี.ค.57  ที่ วนอุทยานเขาสวาย ต.นาบัว อ.เมือง จ. สุรินทร์ นายยุทธนา  วิริยะกิตติ  รองผวจ.สุรินทร์  เปิดงานประเพณี ขึ้นเขาสวาย กราบไหว้ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เคาะระฆัง 1,080 ใบ ที่แขวนเรียงรายที่ราวบรรใดขึ้นเขาสวาย เพื่อกราบไหว้ 9 สิ่งศักดิ์ ที่ประดิษฐานอยู่บนเขาสวาย  ซึ่งจังหวัดสุรินทร์ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ได้ร่วมกันจัดขึ้น



          สำหรับประเพณีขึ้นเขาสวาย กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญของชาวจังหวัดสุรินทร์มาแต่โบราณ เมื่อถึงเดือนห้าของทุกปี บรรพบุรุษชาวสุรินทร์จะถือว่าเป็นงานประเพณีหยุดงาน ซึ่งประเพณีการหยุดงานตามช่วงระยะเวลาดังกล่าว ในทุกปีชาวจังหวัดสุรินทร์จะร่วมมือร่วมใจจัดงานบุญประเพณีขึ้นเขาสวาย ประกอบกับวันดังกล่าว ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ ดังนั้นชาวสุรินทร์จะหยุดงานและพากันเดินทางไปขึ้นเขาสวายเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมสิริมงคลชีวิตต่อตนเองและครอบครัว โดยจะพากันประกอบกิจกรรมกราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาสวายหลัก ทั้ง 9 คือ พระใหญ่หรือพระพุทธสุรินทรมงคล,  รอยพระพุทธบาทจำลอง,  อัฐิหลวงปู่ดูลย์ อตุโล, พระพุทธรูปองค์ดำ, หลวงปู่สวน, ปราสาทหินพนมสวาย,  ศาลเจ้าแม่กวนอิม,  เต่าหินศักดิ์สิทธิ์,  สระน้ำศักดิ์สิทธิ์,  และร่วมเคาะระฆัง 1,080 ใบ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัวด้วย
          จังหวัดสุรินทร์ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมสำคัญ ซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนพื้นเมืองมาอย่างยาวนานแห่งหนึ่ง คือ "เขาสวาย” หรือ "พนมสวาย” ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาสวาย ในพื้นที่ตำบลนาบัวและตำบลสวาย อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ประมาณ 22 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ติดต่อกัน รอง ๆ บริเวณ มีเวิ้งน้ำใหญ่ ทิวทัศน์สวยงาม มีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด มียอดเขาที่สำคัญ 3 ยอด ยอดที่ 1 เรียกว่า ยอดเขาชาย (พนมเปร๊าะ) สูง 220 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรทรมงคลและระฆังมหากุศล 1,080 ใบ จาก 1,080 วัด ยอดที่ 2 เรียกว่ายอดเขาหญิง(พนมสรัย) สูง 210 เมตร เป็นที่ตั้งของวัดพนมศิลาราม ยอดเขาที่ 3 เรียกว่า เขาคอก (พนมกรอล) สูง 150 เมตร เป็นที่ตั้งศาลาอัฐฐะมุข ซึ่งเป็นอนุสรณ์ฉลองครบรอบ 200 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง เขาสวาย มีความสำคัญต่อชาวสุรินทร์มาตั้งแต่โบราณกาล กล่าวคือ เมื่อถึงเดือนห้าของทุกปีบรรพบุรุษชาวสุรินทร์จะถือว่าเป็นงานประเพณีหยุดงาน ซึ่งการหยุดงานจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 ตอมตู๊จ ซึ่งหมายถึงวันหยุดงานเล็ก จะมีการหยุดงาน ทำงานเพียง 3 วัน นับตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือนห้า ช่วงที่ 2 ช่วงตอมธม หมายถึง วันหยุดใหญ่ จะมีการหยุดทำงานทั้งหมด 7 วัน นับแต่วันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 7 ค่ำ เดือนห้า ซึ่งประเพณีการหยุดงานตามช่วงระยะเวลาดังกล่าว ชาวสุรินทร์มีความเชื่อว่า ต้องหยุดการทำงานทั้งหมด หากใครไม่หยุดทำงานก็จะมีอันเป็นไปและในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี ชาวจังหวัดสุรินทร์จะร่วมมือร่วมใจจัดงานบุญประเพณีขึ้นเขาสวายขึ้น ประกอบกับวันดังกล่าวถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ


            ดังนั้น ชาวสุรินทร์จะหยุดงานและพากันเดินทางไปขึ้นเขาสวายเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมสิริมงคลชีวิตต่อตนเองและครอบครัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาสวายประกอบด้วย พระใหญ่หรือพระพุทธสิรนทรมงคล รอยพระพุทธบาทจำลอง อัฐิหลวงปู่ดุล อตุโล พระพุทธรูปองค์ดำ หลวงปู่สวน ปราสาทหินพนมสวาย ศาลเจ้าแม่กวนอิม เตาหินศักดิ์สิทธิ์ และสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาปี 2551 จังหวัดสุรินทร์ ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราช โดยได้ดำเนินการจัดหาระฆัง จำนวน 1,080 ใบ จากวัดทุกวัดในจังหวัดสุรินทร์ และวัดสำคัญอีก 10 วัด นำไปติดตั้งบริเวณทางขึ้นบันไดไปนมัสการพระพุทธสุรินทรมงคล และบริเวณรอบ ๆ สถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุล อตุโล ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ สวยงาม ปรากฏต่อสื่อสาธาณะอย่างกว้างขวาง และคาดว่าน่าจะเป็นจำนวนมากที่สุดในโลกอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เคาะระฆังเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว



             นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมการประกวดขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ขบวนรถบุปผาชาติ ขบวนธงชาติธงเฉลิมฉลองฯ ตวง (ตุง) ขบวนรถแห่นางงาม และการประกวดขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น หมู่บ้าน ซึ่งงานประเพณีขึ้นเขาสวาย ในปีนี้อากาศไม่ร้อนมากนัก จึงทำให้ให้มีประชาชนและนักท่องเที่ยวแห่เข้าร่วมงานประเพณีเป็นจำนวนมาก โดยในงานและตามหมู่บ้านก็จะเริ่มเห็นบรรยากาศของการเล่นน้ำสงกรานต์อีกด้วย

งานมหัศจรรย์ แสง สี เสียง สืบสานตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิ ประจำปี 2557



เทศบาลตำบลศีขรภูมิ จัดงานมหัศจรรย์ แสง สี เสียง สืบสานตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิ ประจำปี 2557

นายบรรจง พิชญาสาธิต นายกเทศมนตรีตำบลศีขรภูมิ

นายบรรจง พิชญาสาธิต นายกเทศมนตรีตำบลศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า ในทุกปีของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งตรงกับการจัดงาน “มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์” เทศบาลตำบลศีขรภูมิ ได้จัดงานสืบสานตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิ ขึ้น โดยในปีนี้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2557 ที่บริเวณองค์ปราสาทศีขรภูมิ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ และเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป สำหรับปีนี้ถือว่าจัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปีมีขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองจำลองวิถีชีวิตกลุ่มชุมชนชาว เขมร ลาว กุย และ จีน มีพิธีบวงสรวงองค์ปราสาทศีขรภูมิ นิทรรศการแสดงวิถีชีวิตวัฒนธรรม ของชุมชนชาวพื้นเมืองชีวิตดั้งเดิม การแสดงจากสถานศึกษา และชุมชน ต่างๆ ในเขตเทศบาล การแสดงดนตรีไทย การจำหน่ายสินค้าของฝากของที่ระลึก และของดีศีขรภูมิ และไฮไลต์ของงานคือ การแสดงประกอบ แสง สี เสียงที่ยิ่งใหญ่อลังการ ในปีนี้มีชื่อว่าศิวเวทเทวาลัย มนต์ไผทพุทธานุภาพ โดยนักศึกษาจากวิทยาลัยการอาชีพศีขรภูมิ ร่วมแสดง






ทั้งนี้ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่เทศบาลตำบลศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ราคาบัตรนั่งชมการแสดง ราคา 100 บาท จำหน่ายบัตรนั่งชมการแสดง (โต๊ะจีน) ราคาโต๊ะละ 2,900 บาท โทรศัพท์ 044-561-243 โทรสาร 044-560-088 สำหรับปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทบ้านระแงง ตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ ห่างจากตัวเมืองจังหวัดสุรินทร์ประมาณ 34 กิโลเมตร ถนนสุรินทร์-ศรีสะเกษ มีลักษณะเป็นปรางค์หมู่ 5 องค์ เป็นปราสาทก่ออิฐไม่สอปูนตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกันโดยตัวฐานก่อด้วยศิลาแลงกว้าง 25 เมตร ยาว 26 เมตร สูง 1.5 เมตร โดยมีคูน้ำกว้าง 125 เมตร ล้อมรอบสามด้าน
โดยเว้นด้านตะวันออกอันเป็นทางเข้าไว้ ปรางค์ประธานสูงประมาณ 32 เมตร ทับหลังเป็นภาพพระศิวนาฏราชสิบกร ทรงฟ้อนรำอยู่เหนือเกียรติมุข ภายใต้วงโค้งลายท่อนมาลัย ซึ่งสลักเป็นภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และพระอุมาโดยทับหลังชิ้นนี้นับเป็นทับหลังที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งของเมืองไทย บริเวณเสากรอบประตูสลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว และทวารบาลยืนกุมกระบอง ซึ่งนางอัปสราที่ปราสาทศีขรภูมินี้มีลักษณะคล้ายกับนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่พบที่ปราสาทศิลปะเขมรโบราณแห่งใดอีกเลยในประเทศไทย พบที่ปราสาทศีขรภูมิเพียงแห่งเดียวเท่านั้น


ส่วนปรางค์บริเวณทับหลัง 2 ชิ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมายเป็นภาพกฤษณาวตารทั้ง 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นภาพ กฤษณะฆ่าช้างและราชสีห์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพกฤษณะฆ่าราชสีห์ มีลักษณะปนกันระหว่างศิลปะขอมแบบปาปวน (1550-1650) และแบบนครวัด(1650-1700) ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษต้นสมัยนครวัด สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกายมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์

  “สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม” สุรินทร์จังหวัดที่มากด้วยปราสาทหินต่าง ๆ มากมายที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่นกลุ่มปราสาทตาเหมือน ปราสาทบ้านที ปราสาทหินบ้านพลวง ฯลฯ ดังนั้นเมื่อมาถึงจังหวัดสุรินทร์จึงไม่ควรพลาดที่จะเที่ยวชมปราสาทหิน และปราสาทหินที่ทางทีมงานท่องเที่ยวดอทคอม(www.Thongteaw.com) จะพาทุกท่านไปเที่ยวชมในวันนี้เป็นปราสาทหินที่มีความสวยงาม มีอายุอานามหลายร้อยปี ปราสาทนั้นคือ “ปราสาทศีขรภูมิ”

      ปราสาทศีขรภูมิ หรือปราสาทระแงง (ชื่อเดิมตั้งตามชื่อตำบล) ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิจังหวัดสุรินทร์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทหินที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมผสมกันระหว่างขอมแบบบาปวนกับแบบนครวัด สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระศิวะของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกายตามวัตถุประสงค์ของหารสร้างปราสาทหินในสมัยเดียวกัน ตัวปราสาทหินถูกล้อมด้วยคูน้ำ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงสูงประมาณ 1 เมตร
ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
ปราสาทศีขรภูมิ มนต์ขลังแดนอีสาน


ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
ภาพสลักบนเสาหินของปรางค์ปราสาทศีขรภูมิ


ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
มุมมองระยะไกลที่เก็บหลายมุมความสวยงามทางวัฒนธรรมของปราสาทศีขรภูมิ

     ปราสาทศีขรภูมิที่ทีมงานเดินสำรวจพบว่ามีปราสาททั้งหมด 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ตรงกลางเป็นปราสาทองค์ประธาน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้ยี่สิบ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือ ทางด้านทิศตะวันออก บริเวณหน้าบันของปราสาทมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล (รายละเอียดหน้าบัน ขอบคุณข้อมูลจากททท.) ภายในปราสาทประธานมีพระพุทธรูป และพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ สำหรับปรางค์บริวารที่อยู่โดยทั้งสี่มุมของปราสาทศีขรภูมินั้น บางส่วนชำรุดทรุดโทรมได้รับการบูรณะไปบางส่วน สำหรับปรางค์ปราสาทบริวารที่อยู่ด้านซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าตัวปราสาทจะพบอักษรจารึกบนกรอบประตู (คาดว่าเป็นภาษาลาว แต่ทางทีมงานไม่สามารถเข้าใจเนื้อความได้เนื่องจากอ่านไม่ออก)  แต่ความงดงามและรายละเอียดที่น่าสนใจทำให้สถานที่ตั้งของปราสาทศีขรภูมิที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ดึงดูดให้ต้องแวะเข้ามาเยี่ยมชมให้ได้หากมาถึงที่จังหวัดสุรินทร์แล้ว
      นอกจากนั้นที่อำเภอศีขรภูมิจะมีการจัดงานสืบสานตำนานพันปี “ปราสาทศีขรภูมิ” โดย อบต. และเทศบาลร่วมกันจัดขึ้นในช่วงเทศกาลงานแสดงช้างของทุกปี

ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
ภาพแกะสลักหิน ลวดลายบนลายพระพุทธบาทที่อยู่ภายในปราสาทศีขรภูมิ


ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์  ปราสาทศีขรภูมิ ปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
โบราณวัตถุที่จัดเรียงไว้ที่มุมหนึ่งของปราสาทศีขรภูมิ


การเดินทาง
 (ขอบคุณที่มาการเดินทางจาก ททท.)
     ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ 34 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 226 โดยอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปอีก 1 กิโลเมตร 

หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง

หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง

   
                ตั้งอยู่ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 10 กม. โดยใช้เส้นทางถนนสายเกาะลอย-เมืองลิง เป็นโรงงานทอผ้ายกทองโบราณที่คุณภาพผ้าและลายทัดเที่ยมของโบราณ เป็นการทอโดยใช้ใยไหมเส้นเล็กละเอียด (ไหมน้อย) มาย้อมสีธรรมชาติ ด้วยเทคนิคแบบโบราณผสานกับการออกแบบลวดลายที่วิจิตร แบบลายชั้นสูงในอดีตเช่น ลายเทพพนม ลายหิ่งห้อยชมสวน ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุคนาค เป็นต้น รวมทั้งไหมทองคำที่ผลิตขึ้นมาจากเส้นเงินบริสุทธิ์แล้วปั่นควบกับเส้นไหม นำมาทักทอเป็นผ้าไหมยกทอง ที่มีความวิจิตรงดงาม ในการออกแบบและการทอแต่ละผืนต้องใช้เวลานาน บางผืนอาจใช้เวลาเป็นปีจึงแล้วเสร็จ ขึ้นอยู่กับขนาดของตะกอ การทอผ้าไหมของชาวบ้านท่าสว่างได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากสำนักพระราชวัง   และมูลนิธิในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ จนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมมอบให้กับผู้นำเอเปค เมื่อปี พ.ศ. 2546
    
          It is located at the Tha Sawang Village, Tambol Ta Sawang, Amphoe Mueang, about 10 kilometers from Surin city along Ke Loi-Mueang Lieng Road.  It is a fabric of Pha-Mai-Yok-Thong-Boran (ancient silk weaving with gold threads).  The process is to dye very small silk threads (called Mai Noi) and weave them under many ancient designs such as Thep Phanom, Hing Hoi Chomsuan, Kankhod Tenram, Krut Yud Nark. etc. including the famous and beautiful golden brocade silk fabric which is made of pure silver threads being woven with silk threads.  It takes very long time for each design (2-3 months) and 1-3 months or year for weaving of each fabric-depend on the design and the number of take or (selection of silk yarns) used for weaving (maximum Takor was 1418)
          This weaving project is supported and promoted by the Bureau of the Royal House hold and Her Mafesty the Queen's Foundation.  The silk was selected as the fabric to produce shirts for all country leader in the APEC Meeting in the year 2003.

      

บ้านท่าสว่าง หมู่บ้านทอผ้าไหมAPEC OTOP

    ที่อยู่ บ้านท่าสว่าง ต. ท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ๓๒๐๐๐

    ความเป็นมาของกลุ่ม เริ่มจากการที่คนในชุมชนทอผ้าไว้ใช้เอง หากมีผ้าทอเหลือจะรวมกลุ่มกันไปขายตามงานต่างๆ ที่จัดขึ้นในตัวเมือง หรือขายตามร้านค้าต่างๆ โดยจะทำเป็ นอาชีพเสริม เนื่องจากอาชีพหลัก คือ การทำเกษตรกรรม นอกจากนีค้ นในชุมชนบางส่วนเป็นกลุ่มคนที่เคยไปรับจ้างทอผ้าตามโรงงานต่างๆ แล้วกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านยามชรา ประกอบกับการที่ชุมชนเริ่มมีชื่อเสียงขึน้ จากผ้าไหมยกทองของอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ทำให้เกิดการตัง้ กลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมบ้านท่าสว่างขึน้ เพื่อรวมตัวกันทอผ้าไหมและเปิ ดร้านขายผ้าไหมในชุมชน  โดยปัจจุบันได้กลายมาเป็นอาชีพหลักของคนในชุมชน เนื่องจากที่ตัง้ ของหมู่บ้านเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ตัวเมือง และได้รับการส่งเสริมจากทางจังหวัดสุรินทร์ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนเข้าไปซือ้ ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ  ปัจจุบันกลุ่มอาชีพทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง จังหวัดสุรินทร์ ตั้ง อยู่ที่ 179 ซอย เรือนไทยตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รหัสไปรษณีย์ 32000
โดยกลุ่มเริ่มดำเนินการตั้ง แต่ปี พ.ศ. 2542 แต่ได้จดทะเบียนเมื่อปี พ.ศ. 2546โดยมีประธานกลุ่มชื่อ คุณปราณี ติดใจดี อายุ 39 ปี โทรศัพท์มือถือ 087-5099507
E-mail address:Prani_surin@hotmail.com


หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทอง จันทร์โสมา

    หมู่บ้านที่ได้รับการยกย่องว่า"ทอผ้าไหมหนึ่งพันสี่ร้อยสิบหกตะกอ"เมื่อ ครั้งทอผ้ายกทองทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ จากการริเริ่มผลงานศิลปหัตกรรมของกลุ่มทอผ้ายกทอง"จันทร์โสมา" ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทย โบราณ โดยมี อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย เป็นแกนนำและเป็นผู้รวบรวมชาวบ้านท่าสว่างมารวมกลุ่มกันทำงานทอผ้ายามว่าง จากงานไร่งานนา ด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อนงดงามและศักดิ์สิทธิ์ผสมผสานกันระหว่าง ลวดลายการทอแบบราชสำนักกับเทคนิคการทอผ้าแบบพื้นบ้าน จนกลายเป็นผ้าทอที่มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว โลก ผลงานที่โดดเด่นของที่นี่คือการได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลให้ทอผ้าสำหรับ ตัดเสื้อผู้นำและผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรสผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจที่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปกเมื่อปลายปี 2546 จนเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในชื่อ"หมู่บ้านทอผ้าเอเปก"และรางวัล OTOP ระดับ 5 ดาว ของประเทศ ความโดดเด่นของผ้าไหมยกทอง "จันทร์โสมา" เกิดจากการเลือกเส้นไหมน้อยที่เล็กและบางเบานำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้มแล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสีคือสีแดงจากครั่งสีเหลืองจากแก่น แกแลและสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทองที่ทำจากเงินแท้มารีดเป็นเส้นเล็กๆปั่นควบกับเส้น ด้าย ใช้ตะกอเส้นพุ่งพิเศษที่ทำให้เกิดลายจำนวนตะกอมากกว่าร้อยตะกอ จนกระทั่งการวางกี่บนพื้นดินธรรมดามีความสูงไม่พอ ต้องขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นหลุมลึกไป2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่ห้อยลงมาจากกี่ให้เป็นระเบียบ ให้คนสามารถอยู่ในหลุมเพื่อสอดตะกอไม้ได้ด้วย เนื่องจากไม้ตะกอมีจำนวนมาก จึงต้องใช้คนทอถึง ๔-๕ คน คือจะมีคนช่วยกตะกอ 2-3 คน คนสอดไม้ 1 คนและคนทออีก 1 คน และความซับซ้อนทางด้านเทคนิคการทอ จะได้ผลงานเพียงวันละ 6-7 เซนติเมตรเท่านั้น การเข้าชมสามารถเข้าชมได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น การเดินทาง จากตัวเมืองสุรินทร์ใช้เส้นทางหลวงชนบท สร.4026 ประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นถนนลาดยางตลอด

วันสารทไทย

แรม 15 ค่ำ เดือน 10 วันสารทไทย

 “ สารทไทย ” หมายถึง เทศกาลทำบุญสิ้นเดือนสิบของไทย จะตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี ซึ่งมักจะตกราว ๆ ปลายเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณตามหลักฐานพบว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี   เป็นประเพณีทำบุญกลางปีเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองที่มีชีวิตผ่านพ้นเวลามาได้ถึงกึ่งปี ในขณะเดียวกันก็ถือโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพชนเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณไปด้วย โดยขนมที่นิยมใช้ทำบุญในช่วงนี้ คือ กระยาสารท ข้าวยาคู หรือข้าวทิพย์หรือข้าวมธุปายาส

                    พระยาอนุมานราชธนได้เขียนเล่าในหนังสือเทศกาลและประเพณีไทยว่า คำว่า “ สารท ” เป็นคำอินเดีย หมายถึง “ ฤดู ” ตรงกับฤดูในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “ ออตอม ” อันแปลว่า ฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะมีเฉพาะบางเขตของโลกอย่างยุโรป จีน และอินเดียตอนเหนือเท่านั้น ช่วงนั้นเป็นระยะที่พืชพันธุ์ธัญชาติและผลไม้เริ่มสุก และให้พืชผลครั้งแรกในฤดู ดังนั้น ประชาชนจึงรู้สึกยินดี และถือเป็นเทศกาลแห่งความรื่นเริง จึงมักทำพิธีตามความเชื่อและเลี้ยงดูกันอย่างที่เรียกว่า “Seasonal Festival” โดยบางแห่งก็จะมีการนำพืชผลที่เก็บเกี่ยวได้ครั้งแรกที่เรียกว่า “ ผลแรกได้ ” นี้ไปสังเวยหรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ เพื่อความเป็นสิริมงคล และแสดงความเคารพที่ท่านช่วยบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญหารอุดมสมบูรณ์จนเก็บเกี่ยวได้ เช่น พิธีปงคัล ในอินเดียตอนใต้ ที่มีพิธีต้มข้าวกับน้ำนมทำเป็นขนม เรียกว่า ข้าวทิพย์ข้าวปายาสถวายพระคเณศ เป็นต้น
                    ส่วน สารทเดือนสิบ อันหมายถึงการทำบุญเดือนสิบ หรือวันสารทไทยของเรานั้น พระยาอนุมานราชธนได้สันนิษฐานว่า น่าจะนำมาจากคติของอินเดีย เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง ผลแรกได้ อย่างที่กล่าวข้างต้นเช่นกัน แต่ช่วงเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูสารทหรือช่วงฤดูใบไม้ร่วงของบางประเทศที่ว่า จะตกอยู่ในราว ๆ เดือน ๑๐ ทางจันทรคติของไทย ซึ่งโดยความจริงข้าวของเราจะยังไม่สุก มีเพียงผลไม้บางชนิดเท่านั้นที่สุก ครั้นเรารับความเชื่อนี้มา จึงมีปรับเปลี่ยนใช้ข้าวเก่าทำเป็นข้าวเม่า ผสมกับถั่ว งาและสิ่งอื่นกลายเป็น ขนมกระยาสารท ขึ้นมา ซึ่งเมื่อแรกๆก็คงมีการนำไปสังเวยเทวดา และผีสางต่างๆตามความเชื่อดั้งเดิมด้วย ต่อมา เมื่อเรานับถือศาสนาพุทธ จึงได้เปลี่ยนมาเป็นการทำบุญถวายพระ และมักมีการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับตามความเชื่อเดิมที่ว่าหากไม่ ได้ทำบุญตักบาตรกระยาสารท ผีปู่ย่าตายายจะได้รับความเดือนร้อนอดๆอยากๆ เท่ากับลูกหลานไม่กตัญญู นอกจากนี้ ระยะเวลาดังกล่าว ยังเป็น ช่วงกล้วยไข่สุกพอดี จึงมักถวายไปพร้อม ๆ กัน การทำบุญเดือนสิบนี้มีในหลายภูมิภาค เช่น ทางอีสาน เรียกว่า บุญข้าวสาก หรือสลากภัต เป็นหนึ่งในฮีตสิบสอง อันเป็นการทำบุญอุทิศให้ผู้ตายหรือเปรต โดยข้าวสากจะทำด้วยข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอกคลุกเข้ากันผสมกับน้ำตาล น้ำอ้อย ถั่ว งา มะพร้าวคล้ายๆกระยาสารทของภาคกลาง โดยมักจะทำราวกลางเดือนสิบ ห่างจากการทำบุญข้าวประดับดิน ที่ทำในช่วงสิ้นเดือน ๙
                  
  ขนมที่นิยมทำกันในช่วงนี้ นอกจากกระยาสารทที่มักทำเฉพาะเทศกาลสารทแล้ว ก็ยังมี ข้าวยาคู ข้าวมธุปายาสและข้าวทิพย์ ซึ่งแม้จะเรียกต่างกัน แต่ปัจจุบันจะหมายรวมๆกันไป ทั้งที่โดยแท้จริงแล้ว เมื่อเริ่มแรกข้าวยาคู ข้าวมธุปายาส และข้าวทิพย์นั้นมีที่มาและกรรมวิธีทำที่ต่างกัน กล่าวคือ
ขนมกระยาสารทเป็นขนมประจำวันสารทในทุกท้องถิ่นของประเทศไทย ซึ่งจะขาดเสียมิได้ด้วยมีความเชื่อที่ว่า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรขนมกระยาสารทในวันสารทไทยแล้ว ญาติผู้ล่วงลับก็จะไม่ได้ส่วนบุญส่วนกุศลที่กระทำในวันนั้น ขนมกระยาสารทมีส่วนประกอบ คือ ข้าวตอก ข้าวเม่า ถั่ว งา และน้ำตาล นำทั้งหมดมากวนเข้าด้วยกัน เมื่อสุกแล้วจึงนำมาปั้นเป็นก้อนกลม หรือจะตัดเป็นแผ่นก็ได้
                    ข้าวยาคู มีตำนานเล่ามาว่ามีชาวนาพี่น้องสองคน คนโตชื่อว่ามหาการ น้องชื่อจุลการ มีไร่นา กว้างใหญ่ ในฤดูที่ข้าวตั้งท้องออกรวง คนน้องเห็นว่าควรจะนำข้าวนั้นมาทำอาหารถวายพระพุทธเจ้าผู้ทรงนามว่า วิปัสสี แต่พี่ชายไม่เห็นด้วยเพราะจะต้องเสียข้าวในนาจำนวนไม่น้อย น้องชายจึงแบ่งไร่นาและนำเมล็ดข้าวในสวนไร่นาของตนไปทำอาหารที่เรียกว่า ข้าวยาคูไปถวายพระวิปัสสีและอธิษฐานขอให้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา ซึ่งภายหลังจุลการได้เกิดเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ สำหรับข้าวยาคูนี้จุลการได้ ข้าวสาลีที่กำลังท้องฉีกรวงข้าวอ่อนออกมา แล้วต้มในน้ำนมสด เจือด้วยเนยใส น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด
                    ส่วน ข้าวมธุปายาส คือข้าวที่หุงเจือด้วยน้ำนม และน้ำผึ้ง มีตำนานเล่าว่า นางสุชาดา ลูกสาวเศรษฐีปรุงขึ้นเป็นอาหารไป แก้บน และได้เห็นพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ประทับใต้ต้นนิโครธ ( ต้นไทร ) ก็เข้าใจพระองค์เป็นเทพยดาจึงนำอาหารนั้นไปถวาย พระโพธิสัตว์จึงได้เสวยข้าวมธุปายาสเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงมีความเชื่อกันว่า ข้าวมธุปายาส เป็นอาหารวิเศษ ผู้ใดมีวาสนาได้กินแล้ว จะมีร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย อุดมด้วยสติปัญญา และเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
                    สำหรับ ข้าวทิพย์ จะหมายถึง อาหารอันโอชะ ที่มีเครื่องปรุงถึง ๑๐๘ ชนิด ( หากทำแบบโบราณ ) แต่โดยหลักๆก็มี ๙ อย่าง คือ น้ำนมข้าว เนย น้ำอ้อย น้ำผึ้ง น้ำตาล นม ถั่ว งาและข้าวเม่า ซึ่งการกวนแต่ละครั้งก็ต้องประกอบพิธีกรรมหลายอย่าง เช่น ต้อง ใช้สาวพรหมจารีย์กวน ฟืนที่ใช้ต้องเป็นไม้ชัยพฤกษ์หรือไม้พุทราเท่านั้น ส่วนไฟก็ต้องเกิดจากแดดผ่านแว่นขยายที่เรียกว่า “ สุริยกานต์ ” เป็นต้น 

                    จากพิธีกรรมในการปรุงที่มีความพิเศษ ตลอดจนความเชื่อที่ว่าข้าวมธุปายาสหรือที่เรียกว่าข้าวทิพย์หรือข้าวยาคูนี้ เป็นข้าวศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้ผู้กินพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ มีความสุขสวัสดี และเป็นมงคลแก่ชีวิตนี้เอง 
 ประเพณีนี้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพชนผู้มีพระคุณ ได้แสดงความเอื้อเฟื้อให้แก่เพื่อนบ้าน เป็นกาผูกมิตรไมตรีกันไว้  เป็นการแสดงความเคารพ และอปจายนธรรมแก่ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นการกระทำจิตใจของตนให้สะอาดหมดจดไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ ขจัดความตระหนี่ได้ เป็นการบำรุงหรือจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป