วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557
เศรษฐกิจพอเพียงของฉัน (แบบผสมผสาน)
เศรษฐกิจพอเพียงของฉัน
(
แบบผสมผสาน
)
เกษตรแบบผสมผสาน
(
Integrated Farming)
การเกษตรแบบผสมผสาน
เป็นระบบเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่มีการผสม
กลมกลืน
และเกื้อกูลซึ่งกันและกันตามธรรมชาติ
มีตัวอย่างให้เห็นในหลายประเทศทั่วโลก
เช่น
ใน
ประเทศจีน
มีการเลี้ยงสุกรผสมผสานกับการเลี้ยงสัตว์น้ำ
และในประเทศญี่ปุ่น
มีการเลี้ยงปลาในนา
ข้าว
เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยในอดีต
ไม่มีระบบการเกษตรแบบผสมผสานที่ชัดเจนนัก
ระบบการเกษตรดั้งเดิมของไทยน่าจะใกล้เคียงกับระบบที่เรียกว่า
“
ไร่นาสวนผสม
”
เนื่องจากเป็น
ระบบการเกษตรที่มีเป้าหมายเพื่อการยังชีพ
หรือเพื่อลดความเสี่ยงจากราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน
เป็นหลัก
มีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายๆ
อย่างรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกันสำหรับใช้บริโภคใน
ครอบครัว
แต่มิได้การให้กิจกรรมการผลิตผสมผสานเกื้อกูลกันเพื่อลดต้นทุนการผลิตและใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรย่างสูงสุดเหมือนการเกษตรแบบผสมผสาน
ไร่นาสวนผสมอาจมีกลไกการ
เกื้อกูลกันจากกิจกรรมการผลิตได้บ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย
และเป็นกลไกที่เกิดเอง
การเลี้ยงปลาในนาข้าวและการเกษตรแบบผสมผสานเป็นองค์ประกอบสำคัญ
ประการหนึ่งของฒนาการและการก่อตัวของขบวนการเกษตรกรรมยั่งยืนในสังคมไทย
โดยในช่วง
ปลายทศวรรษ
2520
ภาคอีสานประสบปัญหาภัยแล้งและประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร
จึงเริ่มมี
การเลี้ยงปลาในนาข้าวนักพัฒนาได้ค้นพบรูปแบบและเทคนิคการเกษตรอื่นๆ
อีก
เช่น
รูปแบบ
การเกษตรแบบสมผสานของมหาอยู่
สุนทรธัย
ซึ่งเป็นการประยุกต์รูปแบบการทำสวนยกร่องแถบ
ภาคกลางไปพัฒนาเป็นระบบเกษตรแบบผสมผสานที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คือ
จังหวัดสุรินทร์
โดยเริ่มจากการสร้างสระเก็บน้ำในไร่นา
จากนั้นจึงค่อยๆ
พัฒนามาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ชนิดต่างๆ
อย่างช้าๆ
จนกระทั่งกิจกรรมการผลิตต่างๆ
ได้เข้าสู่ระบบผสมผสานอย่างเต็มรูปแบบเมื่อประมาณปี
พ
.
ศ
.
2516
ทั้งนี้
การเกษตรแบบผสมผสานเริ่มขยายตัวตั้งแต่ปี
พ
.
ศ
.
2528
เป็นต้นมา
การเกษตรแบบผสมผสาน
เป็นการจัดระบบของกิจกรรมการผลิตในไร่นา
ได้แก่
พืช
สัตว์
ประมง
ให้มีการผสมผสานอย่างต่อเนื่องและเกื้อกูลในการผลิตซึ่งกันและกัน
โดยการใช้
ทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นา
เช่น
ดิน
น้ำ
แสงแดดอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุด
มีความสมดุลย์
ของภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเกิดผลในการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร
ธรรมชาติด้วย
โดยเนื้อหาสาระของเกษตรแบบผสมผสานมี
4
ประการคือ
1.
ประกอบด้วยกิจกรรมการผลิตตั้งแต่
2
ชนิดขึ้นไป
อาจเป็นการผสมผสาน
ระหว่างพืชกับพืช
สัตว์กับสัตว์
หรือสัตว์กับพืช
2.
กิจกรรมการผลิตแต่ละชนิดจะต้องเกื้อกูลกันเป็นวงจร
โดยพิจารณาจาก
การหมุนเวียนการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับอาหาร
อากาศและพลังงาน
3.
ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
4.
ใช้แรงงานคนเป็นหลัก
โดยเป็นแรงงานที่มีอยู่ภายในครอบครัว
ครอบครัวเกษตรกรต้องมีความใจเย็นและเข้าใจ
มีความอดทนมุมานะในการทำกิจกรรมอย่าง
ต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ซึ่งต่างจากที่เคยทำในการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ทำเสร็จแล้วก็เสร็จเลย
แต่การทำ
เกษตรแบบผสมผสานต้องให้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ
อย่างต่อเนื่อง
ประเภทของระบบเกษตรแบบผสมผสาน
มีดังนี้
1.
แบบดั้งเดิม
เป็นประเภทที่มีการผลิตเพื่อกินเพื่อใช้เป็นหลักในครัวเรือนหรือชุมชน
เช่น
การปลูกพืชเลี้ยงสัตว์
เลี้ยงปลา
เพียงเพื่อประโยชน์สำหรับใช้หรือบริโภคใน
ครัวเรือนเท่านั้น
2.
แบบกึ่งการค้า
เป็นประเภทที่เกษตรกรผลิตสินค้าการเกษตรชนิดเดียวซึ่ง
อาจจะเป็นข้าวหรือพืชไร่ก็ตาม
โดยผลิตเพื่อเป็นอาหารและเป็นรายได้หลัก
แต่เนื่องจากการผลิตมี
ความเสี่ยงในด้านความแปรปรวนของสภาพแวดล้อมเกิดการระบาดของศัตรูพืช
ความไม่แน่นอน
ของราคาผลผลิต
จึงหันมาดำเนินการผลิตในระบบเกษตรแบบผสมผสานซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถลด
ความเสี่ยงได้
3.
แบบเชิงการค้า
เป็นประเภทที่เหมาะสมกับเกษตรกรก้าวหน้าซึ่งมี
ประสบการณ์และความสามารถในการผลิตเป็นแบบการค้า
เช่น
สามารถผลิตพืชและมีตลาดรองรับ
ที่แน่นอน
ความสำคัญของการทำเกษตรแบบผสมผสาน
1.
เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาลงทุน
เมื่อสภาวะ
ราคาพืชผลผันแปรเกิดหนี้สิน
เกษตรกรสามารถนำเอาปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดโดยไม่เสียเงินทองซื้อมา
เมื่อลดรายจ่าย
เพิ่มรายได้
เกษตรกรก็สามารถอยู่ได้
ยืนอยู่บนขาของตัวเองโดยมีปัจจัยพื้นฐานสำหรับดำรงชีพที่ผลิตได้เอง
ก็สามารถมีความสุขได้อย่าง
ยั่งยืน
2.
เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่โดยมีการจัดการเรื่องทุน
ที่ดิน
และแรงงานอย่าง
มีประสิทธิภาพ
ก่อให้เกิดผลผลิตต่อหน่วยการผลิตสูง
เช่น
การเลี้ยงปลาในนาข้าว
ทำให้ได้ทั้งพืช
ผลผลิตข้าวและปลา
ในพื้นที่เดียวกัน
3.
สร้างเสถียรภาพและความยั่งยืน
ทั้งทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมให้
เกิดขึ้นในไร่นาและครอบครัวการเกษตร
4.
เกษตรแบบผสมผสานลดความเสี่ยงในการผลิต
ในด้านการผลิตที่อาจ
เสียหาย
หรือความไม่แน่นอนและเสียเปรียบเรื่องราคา
ตลอดจนไม่แน่นอนของดินฟ้าอากาศ
5.
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพที่อุดมสมบูรณ์ได้
เพราะการปลูกไม้ยืนต้นไม่ว่าจะเป็นไม้ผลหรือไม้ใช้สอยในระบบเกษตรแบบผสมผสานจะช่วยให้เกิด
ความร่มเย็น
มูลสัตว์จะเป็นปุ๋ยแก่พืช
เศษพืชเป็นอาหารสัตว์และทำปุ๋ยอินทรีย์
6.
เกษตรกรมีงานทำตลอดปี
จะช่วยแก้ปัญหาการอพยพแรงงานจากชนบท
เข้าสู่เมือง
ตัดปัญหาการขายแรงงาน
การก่ออาชญากรรม
การค้ามนุษย์
เป็นต้น
7.
ลดการใช้พลังงานในการเกษตรลง
เพราะปัจจัยการใช้พลังงานสามารถ
จัดหาได้จากผลพลอยได้จากผลผลิตในไร่นา
เช่น
ก๊าซชีวภาพ
ปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยหมักและไม้ใช้สอยที่
เกิดจากไม้โตเร็วต่าง
ๆ
แรงงานจากสัตว์เลี้ยง
เช่น
วัว
ควาย
8.
รักษาสภาพทางนิเวศวิทยา
การทำเกษตรแบบผสมผสานเป็นการเพิ่มพูน
ความอุดมสมบูรณ์ให้กับคน
รักษาความสมดุลย์ให้กับสภาพแวดล้อมซึ่งความสมดุลย์จะเกิดขึ้นเอง
ตามธรรมชาติ
เช่น
ก๊าซไนโตรเจนในธรรมชาติจะถูกเปลี่ยนเป็นอินทรีย์วัตถุโดยจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่
ในรากพืชตระกูลถั่วและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน
จนทำให้ไนโตรเจนที่อยู่ในรูปที่พืชจะสามารถ
นำไปใช้ประโยชน์ได้
ส่วนธาตุอาหารอื่นๆ
พืชสามารถสะสมพลังงานแสงแดดในรูปของเนื้อไม้
อาหารและโปรตีน
เศษซากพืชที่ร่วงหล่นบนพื้นดินจะเน่ากลายเป็นอาหารพืช
ผลที่เกิดจากการทำการเกษตรแบบผสมผสาน
1.
ผลระดับครัวเรือน
1.1
ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
หมายถึง
ความพอประมาณ
ทำตามกำลังและศักยภาพแห่งตน
เน้นการพึ่งตนเองในทุกๆ
ด้าน
สามารถอุ้มชูตัวเองได้
ให้มีความพอเพียงกับตัวเอง
(
Self Sufficiency)
ซึ่งสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัย
ภายนอก
1.2
สร้างเสถียรภาพ
(
Stability)
และความยั่งยืน
(
Sustainability)
ทั้งทางเศรษฐกิจและทางสภาพแวดล้อมให้เกิดขึ้นในไร่นาและครอบครัวของเกษตรกร
1.3
เพิ่มผลผลิตต่อหน่วยการผลิต
(
ที่ดิน
แรงงานและทุน
)
1.4
ปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการ
และคุณภาพของประชากรใน
ท้องถิ่นให้ดีขึ้นเพราะมีอาหารครบตามต้องการทุกหมู่
เช่น
แป้ง
น้ำตาล
โปรตีน
และเกลือแร่
ที่ได้จากผลผลิตในไร่นา
1.5
เพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานให้สูงขึ้น
เพราะไม่มีเศษเหลือ
แม้แต่มูลสัตว์ก็สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานและปุ๋ยได้
1.6
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในระดับไร่นาให้ดีขึ้น
มีสภาพเกื้อกูลกันและ
กันอย่างยั่งยืน
1.7
รักษาสถานะของมาตรฐานการครองชีพโดยการพึ่งพาตนเองเพื่อ
สามารถยังชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมเงิน
หรือซื้อปัจจัยในการดำรงชีพด้วยเงินสดราคาแพง
2.
ผลในระดับชาติ
2.1
ช่วยลดพลังงานในการเกษตรลง
เพราะสามารถหาได้จากผลพลอยได้
จากการผลิตในไร่นามาทดแทน
เช่น
ก๊าซชีวภาพ
ปุ๋ยอินทรีย์ที่เกิดจากพืช
ไม้ใช้สอยจากการ
ปลูกไม้ยืนต้นโตเร็ว
แรงงานจากสัตว์
2.2
การใช้แรงงานต่อเนื่องตลอดทั้งปีในระบบเกษตรแบบผสมผสานจะ
ช่วยแก้ปัญหาการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้ามาขายแรงงานในเมือง
2.3
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพอุดมสมบูรณ์
ความพอเพียงนี้มิได้หมายถึงสังคมเกษตรกรเท่านั้น
แต่ยังเป็นแบบอย่างที่ดีที่จะให้ผู้คนในประเทศ
ทุกสาขาอาชีพ
ยึดเป็นแนวปฏิบัติดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและยั่งยืน
ขอบคุณรูปภาพจาก
infoforthai.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น